“ไก่ย่างชวนชื่น-ตำโคราช”...
...เมนูรสจัดจ้าน..ที่ร้าน “แซ่บจัง” ซ.แจ้งวัฒนะ 14 ...
ไก่ย่างแซ่บจัง ไก่ย่างแซ่บจัง ไก่ย่างแซ่บจัง ไก่ย่างแซ่บจัง ไก่ย่างแซ่บจัง ไก่ย่างแซ่บจัง ไก่ย่างแซ่บจัง ไก่ย่างแซ่บจัง ไก่ย่างแซ่บจัง
ไก่ย่างแซ่บจัง ไก่ย่างแซ่บจัง ไก่ย่างแซ่บจัง ไก่ย่างแซ่บจัง ไก่ย่างแซ่บจัง ไก่ย่างแซ่บจัง ไก่ย่างแซ่บจัง ไก่ย่างแซ่บจัง ไก่ย่างแซ่บจัง
| |
|
วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556
“ไก่ย่างชวนชื่น-ตำโคราช”.
อาหารรสชาติต้นตำรับที่ร้าน "บางบัว"
"....
|
ก๋วยจั๊บญวน
“ก๋วยจั๊บญวน-แหนมเนือง”...
...อาหารเวียดนามจานเด็ด ที่ร้าน “ญีญวน”... | |
|
“ไก่นาแรงเยอ
. อาหารไทยโบราณขนานแท้
... ที่ร้าน “ไก่นาแรงเยอร์” ถนนประดิษฐ์มนูธรรม...
พบกันอีกครั้งเป็นประจำทุกสัปดาห์ ในคอลัมน์พาชิมของหนังสือพิมพ์ “บ้านเมืองรายวัน” โดยมี “แม่ลิ้นจี่” เจ้าเก่าคอยเป็นผู้สรรหาร้านอาหารอร่อยพร้อมด้วยเมนูเด็ดๆ มาแนะนำให้แฟนคอลัมน์ได้พากันไปทดลองชิมเหมือนเช่นเคย....!
![]()
มีบางคนพูดกันว่า “แม่ลิ้นจี่” ชอบแนะนำแต่ร้านก๋วยเตี๋ยว ช่วงก่อนหน้านี้เคยแนะนำร้านอาหารที่มีระดับก็บ่นกันว่าแม่ลิ้นจี่ชอบแนะนำแต่ร้านแพงๆ แต่ถ้าคนที่เป็นแฟนประจำ และติดตามอ่านกันมาตลอดแล้วก็จะรู้ว่า ร้านอาหารที่แม่ลิ้นจี่แนะนำจะหมุนเวียนเปลี่ยนกันไปหลากหลายระดับ และหลากหลายบรรยากาศ และจะเน้นหนักไปที่ร้านแบบครอบครัวสามารถเข้าไปสัมผัสกันได้ คนที่อ่านหนังสือพิมพ์บ้านเมืองมีอยู่หลายกลุ่ม ถ้าจะเอาใจคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งก็คงจะไม่ถูกต้องนัก เพราะเศรษฐกิจแบบนี้มีคนว่างงานกันอยู่มากมาย จะแนะนำให้กินของแพงกันบ่อยๆ ก็จะเสียแฟนอีกกลุ่มหนึ่งไปนะเจ้าคะ
ร้านอาหารอร่อยประจำสัปดาห์นี้แม่ลิ้นจี่ก็เลยจะเปลี่ยนบรรยากาศพากันมาแวะชิมอาหารอร่อยแบบพื้นบ้านขนานแท้กันดูบ้าง ร้านที่จะแนะนำกันในวันนี้ก็คือร้าน “ไก่นาแรงเยอร์” ซึ่งเขามีชื่อเสียงกันมานานกว่า 30 ปี และเพิ่งจะย้ายร้านมาเปิดบริการอยู่ที่ริมถนนเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา (ถนนประดิษฐ์มนูธรรม) เมื่อประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่งหลายท่านคงจะรู้จักคุ้นเคยกันดีเพราะเขาเคยเปิดขายมาหลายที่ ไม่ว่าจะเป็นที่สี่แยกซอยอุดมสุข, ถนนบางนา-ตราด ก.ม.8-9, ซอยงามดูพลี ถนนพระราม 4 มาจนถึงร้านปัจจุบัน
ที่ร้านนี้เขาจะเน้นบรรยากาศแบบสบายๆ สไตล์โอเพ่นแอร์ เป็นเรือนไม้เก่ารายรอบสระน้ำทั้งสี่ด้าน อาหารที่ขายก็เป็นอาหารไทยโบราณพื้นบ้านสูตรดั้งเดิมทั้ง 4 ภาค ไม่มีการปรุงแต่งให้หรูหราแบบอาหารไทยประยุกต์ ซึ่งในเมนูจะมีให้เราได้เลือกชิมมากมายร้อยกว่าชนิด สนนราคาก็เริ่มต้นกันที่ 80 บาทไปจนถึงหลักร้อยมากน้อยตามแต่วัตถุดิบที่นำมาปรุง
![]() ![]()
จากการที่ได้พูดคุยกับ “คุณป้าอมรรัตน์ เจนพรหมราช” เจ้าของร้าน หรือที่รู้จักกันในนาม “ป้าแรงเยอร์” ถึงแม้อายุจะย่างเข้าสู่วัย 60 ปีแต่ก็ยังมีเค้าโครงความสวยให้แลเห็น เพราะแต่ก่อนเก่านั้นคุณอมรรัตน์เคยมีดีกรีเป็นถึงนางงามของจังหวัดพิษณุโลกถิ่นกำเนิดของคุณป้า และเป็นหญิงแกร่งที่ต่อสู้ชีวิตมาอย่าโชกโชน ซึ่งคุณอมรรัตน์เล่าว่าที่มาของชื่อ “ไก่นาแรงเยอร์” นั้นมาจากน้องชายคือ “ร.อ.สมโภช เจนพรหมราช” อดีตทหารบกหน่วย “แรงเยอร์” ซึ่งเป็นวีรบุรุษในสมรภูมิเขาค้อยุคสงครามปราบปรามคอมมิวนิสต์ ซึ่งตอนนั้นได้ปฏิบัติการอยู่ในป่าลึกไร้ซึ่งเสบียงอาหาร ขณะที่หลบอยู่ในบังเกอร์พร้อมกับลูกน้องซึ่งกำลังหิวโหย เจ้าไก่ป่าดวงถึงฆาตเหมือนรู้ใจบินมาเกาะขอบบังเกอร์ ร.อ.สมโภช จึงได้สังหารตามแบบแรงเยอร์ที่ฝึกฝนมา (อธิบายไม่ได้เพราะหวาดเสียว) นำมาเป็นอาหารเพื่อประทังชีวิตท่ามกลางดงดิบ
หลังจากสงครามทางลัทธิสงบลงคุณอมรรัตน์ได้เข้ามาอยู่ในเมืองกรุงประกอบอาชีพโดยสุจริตหลายอย่าง จนมาเปิดร้านอาหารและนำวิธีการทำไก่แบบแรงเยอร์ตามสูตรของน้องชายมาทำขายจนเป็นที่ติดอกติดใจของลูกค้ามากมาย ซึ่งอาหารที่ร้านนี้เขาจะเน้นวิธีการปรุงแบบพื้นบ้านที่คุณป้าได้รับการสืบทอดมาจากคุณแม่และคุณย่า เครื่องปรุงและวัตถุดิบคุณป้าจะออกเดินตลาดคัดสรรแต่ของที่มีคุณภาพ อาหารของที่นี่จะมีรสชาติจัดจ้านเป็นที่ถูกใจของคนที่ชอบอาหารรสจัด และเป็นที่ชื่นชอบของนักร่ำสุราเป็นยิ่งนัก ส่วนอาหารจานแรกที่จะแนะนำให้ชิมกันในวันนี้ก็มี
นอกจากนี้ก็ยังมีอาหารที่น่าลิ้มลองอีกมากมาย เช่น แกงคั่วหอยขม ไส้หมูอ่อนย่างพริกไทยดำ ยำหัวปลีกล้วยน้ำว้า สะเก็ดระเบิด ฯลฯ คุณอมรรัตน์กล่าวว่ารู้สึกมีความสุขที่ได้สรรหาของดีให้ลูกค้าได้รับประทาน ถึงแม้วัตถุดิบที่หาซื้อมาราคาจะแพงกว่าทั่วๆ ไปก็ต้องซื้อ เพราะความดีที่เราทำส่งผลให้เรามีสุขภาพดีจนทุกวันนี้ ว่างกันวันไหนก็ลองแวะเวียนมาเยี่ยมชิมกันได้ สถานที่ตั้งของร้านจะอยู่เลยโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง สาขา 2 ไปนิดเดียว ที่ร้านนี้เขาจะเปิดบริการกันทุกวัน ตั้งแต่เวลา 11.00-24.00 น. แต่ถ้าเกรงว่าจะมากันไม่ถูกก็โทรมาสอบถามเส้นทางกันก่อนได้ที่ 0-2519-3835 และ 08-1255-6837
สำหรับวันนี้คงต้องขอแนะนำกันแต่เพียงแค่นี้ แล้วพบกับ “แม่ลิ้นจี่พาชิม” ได้ใหม่ในสัปดาห์ต่อไปนะคะ.....!
| |||||||||||||||||||||||||||||||
|
"ครัวกะ-หนก
ปลากระพงเคียงเมี่ยง" ที่ร้าน "ครัวกะ-หนก"...ซอยลาดพร้าว 71 .....
“แม่ลิ้นจี่พาชิม” หนังสือพิมพ์บ้านเมือง ฉบับวันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม 2550
สวัสดีค่ะท่านผู้อ่าน พบกับ “แม่ลิ้นจี่” กันอีกเช่นเคย ท่ามกลางฟ้าฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง อากาศค่อนข้างจะเย็นสบายน่าพักผ่อน ดวงอาทิตย์ไม่ค่อยจะได้ทำงาน จนเกือบจะลืมไปเลยว่าเมื่อเดือนก่อนอากาศร้อนกันจนแทบบ้านั้นเป็นยังไงกัน แต่ถึงอย่างไร “แม่ลิ้นจี่” ก็ไม่ลืมที่จะพาท่านผู้อ่านหลบร้อน หลบฝน ...มาแวะชิมอาหารอร่อยกันอีกเช่นเคย...!s
![]()
ก็เลยขอถือโอกาสพาท่านผู้อ่านหลบลี้หนีความคับคั่งของการจราจรริมทางด่วน มาแวะเข้าทางลัดที่แม่ลิ้นจี่เคยใช้อยู่เป็นประจำอย่างซอยลาดพร้าว 71 และได้มาเจอกับร้านอาหารที่น่าสนใจอย่าง “ร้านครัวกะ-หนก” ก็เลยจะขอแนะนำให้ท่านผู้อ่านได้รู้จักบ้าง...
ถึงแม้ว่าถนนเส้นนี้จะสงบเงียบลง ไม่คึกคักเหมือนสมัยก่อน แต่สิ่งที่ยังคงเหลืออยู่ก็คือมีถนนที่กว้างขวาง เดินทางสะดวกจอดรถสบาย และก็เป็นที่ตั้งของร้านครัวกะหนก ซึ่งเป็นตึกแถว 2 ห้อง เปิดไฟสว่างไสว ด้านในเป็นห้องแอร์มีโต๊ะให้เลือกนั่งอยู่หลายมุมมองกว่า 20 โต๊ะ เปิดเพลงสากลในยุค ’60 และ ’70 ซึ่งฟังแล้วเพลิดเพลินดีนัก ทำให้นึกถึงสมัยที่แม่ลิ้นจี่ยัง เป็นวัยสะรุ่น... ด้านนอกร้านเขาจะจัดโต๊ะนั่งไว้ริมทางเดิน สำหรับท่านที่ชอบบรรยากาศแบบโอเพ่นแอร์ อาหารของทางร้านจะเน้นเป็นอาหารไทยรสจัด แต่ก็มีอาหารจีน และซีฟู๊ดให้เลือกสั่ง รวมแล้วกว่า 150 ชนิด ราคาเริ่มต้นที่ 30 บาท ไปจนถึง 180 บาท บริหารร้านโดย “คุณกนกนุช ประจวบเหมาะ”
![]()
ก่อนหน้าที่จะเปิดเป็นร้านอาหารนั้น คุณกนกนุช ได้เปิดร้านขายอาหารกลางวันมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ประกอบกับ “พตท.กุลธน ประจวบเหมาะ” หรือ “คุณต้น” สามีคุณกนกนุช อดีตสมาชิกของพรรคการเมืองชื่อดัง ซึ่งมีเพื่อนฝูงมากมายเลย จำเป็นต้องมีสถานที่สังสรรค์นัดปะพูดคุยกันเป็นประจำ เห็นว่าอาหารของที่ร้านรสชาติดีอร่อยไม่อายใคร ถึงเวลาแล้วที่จะต้องขยายร้านและเปิดอย่างเต็มตัว จึงได้เปลี่ยนจากร้านอาหารปรุงสำเร็จที่ขายเฉพาะช่วงกลางวัน มาเปิดเป็นร้าน“ครัวกะหนก” เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา
เมื่อเล่าที่มากันพอสมควรแล้ว ตอนนี้ก็มาถึงช่วงเวลาของการชิมบ้างแล้ว เริ่มจาก...
ร้านครัวกะหนก เปิดบริการทุกวันตั้งแต่ 11.00-15.00น. ช่วงค่ำเริ่มกันตั้งแต่เวลา 17.00-24.00 น. สถานที่ตั้งของร้านก็หากันไม่ยาก หากเข้ามาทางปากซอยลาดพร้าว 71 เพียงแค่ 50 เมตร ร้านจะอยู่ทางซ้ายมือ สามารถจอดรถได้บริเวณหน้าร้าน และลานจอดรถฝั่งตรงข้าม ถ้ากลัวไปไม่ถูกก็โทรไปสอบถามได้ที่ 0-2514-1814 และขอปิดท้ายไว้นิดหนึ่งสำหรับท่านที่ชอบดื่มเบียร์ เพราะที่ร้านเขามีเบียร์วุ้นไว้บริการ ชนิดที่ว่ารินใส่แก้วแล้วเป็นเกล็ดหิมะเลยทีเดียว สนนราคาก็ถูกแสนถูกแบบไม่เอาเปรียบลูกค้า แต่มีข้อแม้อย่างหนึ่งนะคะว่า “ถ้าจะดื่มก็อย่าลืมหาพลขับไปด้วย” เผื่อเจอด่านตรวจจะได้รอดปลอดภัย
อย่าลืมนะค่ะ สะดวกกันวันไหนก็ขอเชิญแวะเวียนไปชิมได้ สำหรับวันนี้คงต้องขอแนะนำแต่เพียงเท่านี้ แล้วพบ “แม่ลิ้นจี่พาชิม” ได้ใหม่สัปดาห์หน้านะคะ...
| |||||||||||||||||||||||||||||||||
|
"ผัดไทยกุ้งสด" 3 ชั่วอายุคน ...เจ้าเก่า 60 ปี ตลาดนานา บางลำพู
."ผัดไทยกุ้งสด" 3 ชั่วอายุคน ...เจ้าเก่า 60 ปี ตลาดนานา บางลำพู.....
“แม่ลิ้นจี่พาชิม” หนังสือพิมพ์บ้านเมือง ฉบับวันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน 2550
วันเวลาเวียนมาบรรจบทำให้เราได้พบกันอีกครั้ง ในคอลัมน์พาชิมของหนังสือพิมพ์ “บ้านเมืองรายวัน” โดยมี “แม่ลิ้นจี่” เจ้าเก่ารับหน้าที่คอยสรรหาอาหารอร่อยหลากหลายบรรยากาศ ตั้งแต่ระดับติดดินไล่เรื่อยไปจนถึงระดับหรูหรามาแนะนำให้พากันไปลองชิมเหมือนเช่นเคย....!
![]()
อาหารอร่อยประจำสัปดาห์นี้เพื่อให้เข้ากับยุคเศรษฐกิจที่กำลังซบเซา ก็เลยจะแนะนำอาหารประเภทจานเดียวและจานด่วนในราคาประหยัดที่ใครๆ ก็สามารถจะหารับประทานกันได้มานำเสนอให้แฟนคอลัมน์ได้ลิ้มลอง และอาหารที่จะแนะนำกันในวันนี้ก็เป็นอาหารที่คนไทยเราคุ้นปากคุ้นลิ้นกันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ นั่นก็คือ “ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย” ซึ่งร้านที่กำลังจะแนะนำกันนี้เขาสืบทอดความอร่อยมายาวนานถึง 60 กว่าปี ตั้งแต่รุ่นคุณย่าผัดขายอยู่ที่ตลาดทุเรียน (บางลำพูสมัยก่อน) ในราคาจานละ 3 สตางค์ มาถึงรุ่นลูกได้ย้ายมาขายในตลาดนานา จำได้ว่าขายจานละ 10 บาท จนถึงปัจจุบันที่การสืบทอดตำนานผัดไทยจากรุ่นคุณย่านั้นย้ายมาอยู่ริมถนนสามเสนได้ประมาณ 6 ปี ที่รู้จักกันดีในนาม “ผัดไทยกุ้งสดเจ้าเก่า ตลาดนานา” และเป็นเจ้าที่ “แม่ลิ้นจี่” คิดถึงอยู่เพราะเคยเป็นขาประจำมาอย่างนานโข....
ย้อนไปในอดีตเมื่อประมาณ 30 กว่าปีก่อน สมัยที่ “แม่ลิ้นจี่” ยังอยู่ในวัยเรียน มีร้านขายผัดไทยอยู่เจ้าหนึ่งที่แม่ลิ้นจี่ฝากเนื้อฝากตัวเป็นขาประจำทุกๆ ครั้งที่ย่างกรายไปในย่านบางลำพู ซึ่งที่ร้านนี้เขาจะเปิดแผงค้าขายอยู่ในบริเวณ “ตลาดนานาริมคลองโอ่งอ่าง” หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า “คลองบางลำพู” ในยุคนั้นตลาดแห่งนี้จะเป็นศูนย์รวมอาหารอร่อยทั้งคาวและหวานนานาชนิดที่ขายกันในราคาประหยัด จึงเป็นที่นิยมชมชอบของผู้คนที่มาจับจ่ายซื้อของที่ตลาดบางลำพู และผู้ที่มาดูหนังที่โรงภาพยนตร์บุศยพรรณ ซึ่งเป็นโรงหนังเก่าแก่ในย่านนี้
ที่ร้านนี้จะไม่มีชื่อร้าน และจะเปิดขายกันในช่วงบ่ายถึงค่ำ มีสองคนสามีภรรยาช่วยกันขาย พอตกค่ำเล็กน้อยก็จะมีลูกสาวคนสวยมาช่วยหลังเลิกเรียน โดยจะมีลูกค้าขาประจำมาอุดหนุนกันคับคั่ง ทั้งที่นั่งทานกันที่ร้านและซื้อใส่ห่อกลับบ้าน เขาจะผัดในกระทะใบใหญ่ ผัดกันทีครั้งละมากๆ ผัดครั้งเดียวแบ่งใส่ได้หลายจาน ถ้าขืนมัวมาผัดกันทีละจานก็คงไม่ทันกินเพราะมีลูกค้ามายืนรอกันเนืองแน่น แต่ที่น่าทึ่งก็คือเสน่ห์ปลายจวักและรสมือของการปรุงที่มีรสชาติเดียวกันทุกครั้งที่ผัด
![]() ![]()
และเมื่อประมาณ 16-17 ปีที่ผ่านมา ตลาดนานาถูกรื้อแล้วสร้างเป็นอพาร์ตเม้นท์ ร้านรวงต่างๆ ที่เคยค้าขายอยู่ที่นี่ก็เลยกระจัดกระจายหายหน้ากันไป รวมถึงร้านขายผัดไทยเจ้าประจำของแม่ลิ้นจี่ด้วย ต่อมาภายหลังจึงได้รับรู้ว่าเขาไม่ได้ไปไหนไกล แต่ย้ายเข้าไปขายในบ้านที่สามเสนซอย 2 ได้ 10 กว่าปี ก่อนจะมาเปิดร้านอยู่ที่ตึกแถวเก่าแก่ริมถนนสามเสน โดยมีลูกสาว 2 คนพี่น้องซึ่งนับว่าเป็นรุ่นที่ 3 เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการค้าขาย “แม่ลิ้นจี่” ก็เลยได้โอกาสแวะเวียนมาเขียนแนะนำให้แฟนคอลัมน์ได้พากันไปลองชิม
จากการสอบถาม “คุณจันทร์เพ็ญ มังคละพุทธิภักดิ์ ” ได้เล่าให้ฟังว่า เธอจะยืนผัดตั้งแต่ก่อนเที่ยงไปจนร้านเลิกอย่างนี้เป็นประจำ น้องสาวคือคุณรัตนา จะเป็นคนเสิร์ฟและเตรียมเครื่องเคียง ลูกสาวจะมาช่วยงานก็หลังเลิกเรียน ส่วนสามีจะมาช่วยล้างจานหลังเลิกงานเช่นกัน ช่วยกันเองในครอบครัวโดยไม่ต้องพึ่งลูกจ้าง ส่วน “คุณแม่ภาวดี” ที่ยืนผัดมาอย่างยาวนาน และเป็นที่รู้จักของลูกค้าเป็นอย่างดีตอนนี้ก็ได้พัก แต่ก็ยังช่วยกันอยู่เวลาที่ลูกค้าเยอะ ลูกค้าที่มากินก็มีตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย จนถึงรุ่นพ่อแม่ ลูก หลาน เหลน เหมือนกัน เรียกได้ว่าสืบทอดทายาทกันมาทั้งคนขายและคนกินเลยทีเดียว
![]() ![]() ![]()
จากที่แต่ก่อนขายแต่ผัดไทยแบบธรรมดาใส่กุ้งแห้งแต่เพียงอย่างเดียว และมีแต่เส้นเล็ก เลือกได้เพียงใส่ไข่หรือไม่ใส่เท่านั้น ปัจจุบันมีให้เลือกเป็นเส้นเล็กและวุ้นเส้น ถ้าเป็นผัดไทยแบบธรรมดา ราคาจานละ 25 บาท ถ้าเลือกใส่กุ้งสด ก็ราคาจานละ 45 บาท ถ้ากลัวไม่อิ่มก็สั่งพิเศษเพิ่มเส้น เพิ่มไข่ได้ เครื่องปรุงก็จะใส่มาแบบครบเครื่องเรื่องผัดไทย มีทั้ง กุ้งแห้ง หัวไชโป๊วสับ เต้าหู้ ถั่วลิสงป่น พริกป่น ใบกุ้ยฉ่าย และถั่วงอก ปรุงรสด้วยน้ำส้มสายชู และน้ำตาลปี๊บ ความอร่อยอยู่ที่เส้นที่ผัดได้นุ่มเนียนไม่แข็งกระด้าง แห้งกำลังดี ไม่เละ ไม่แฉะ ยิ่งได้บีบมะนาว ปรุงรสแบบที่ตัวเองชอบ กินแกล้มกับผักสดเครื่องเคียง คือ ถั่วงอกดิบ ต้นกุ้ยฉ่าย ช่างถูกใจจริงๆ...
ซึ่งคุณจันทร์เพ็ญบอกว่า วิธีการผัดของเธอนั้นสืบทอดกันมาจากสายเลือดและประสบการณ์ เช่น การดูเส้นได้ที่หรือยัง จะต้องใส่เครื่องปรุงตอนไหน จะต้องพักเส้นให้เครื่องปรุงซึมเข้าถึงเนื้อใน การเลือกกุ้งก้ามกรามที่ใส่ก็ต้องสดๆ เนื้อจะได้แน่นและหวานอร่อย ทำให้ผัดไทยของที่ร้านเป็นที่ติดอกติดใจของลูกค้าทั้งเก่าและใหม่ เพราะรักษารสชาติแบบดั้งเดิมเอาไว้ไม่ผิดเพี้ยน
สะดวกกันวันไหนก็ลองแวะเวียนมาเยี่ยมชิมกันได้ แต่ต้องขอบอก...ถ้ามาอุดหนุนที่ร้านนี้ในช่วงที่มีลูกค้ามากมาย ก็ต้องใจเย็นกันสักนิด และอย่าคิดหงุดหงิดเดี๋ยวจะเสียอรรถรสในการกิน...ที่ร้านนี้เขาจะเปิดบริการวันจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 11.30-15.30 น. ช่วงบ่ายตั้งแต่เวลา 16.30-21.00 น. หยุดวันเสาร์ 1วัน ส่วนวันอาทิตย์ขายตั้งแต่เวลา 15.00-21.00 น.สถานที่ตั้งของร้านจะอยู่ริมถนนสามเสน ระหว่างสามเสนซอย 6 และสามเสนซอย 8 ตรงกับป้ายรถเมล์พอดิบพอดี จุดสังเกตก็คือจะอยู่เยื้องกับซอยสำนักงานเขตพระนคร ก่อนถึงบางลำพูเล็กน้อย แต่ถ้าเกรงว่าจะหากันไม่เจอก็โทรไปสอบถามเส้นทางกันก่อนได้ที่ 0-2281-8179
และสำหรับวันนี้คงต้องขอแนะนำกันแต่เพียงแค่นี้ แล้วพบกับคอลัมน์ “แม่ลิ้นจี่พาชิม” ได้ใหม่ในหนังสือพิมพ์บ้านเมืองรายรายวันสัปดาห์ต่อไปนะคะ.....!
| |||||||||||||||||||||||||||||||
|
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)