วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

“ไก่ย่างชวนชื่น-ตำโคราช”.


“ไก่ย่างชวนชื่น-ตำโคราช”...
...เมนูรสจัดจ้าน..ที่ร้าน “แซ่บจัง” ซ.แจ้งวัฒนะ 14 ...
ไก่ย่างแซ่บจัง ไก่ย่างแซ่บจัง ไก่ย่างแซ่บจัง ไก่ย่างแซ่บจัง ไก่ย่างแซ่บจัง ไก่ย่างแซ่บจัง ไก่ย่างแซ่บจัง ไก่ย่างแซ่บจัง ไก่ย่างแซ่บจัง
ไก่ย่างแซ่บจัง ไก่ย่างแซ่บจัง ไก่ย่างแซ่บจัง ไก่ย่างแซ่บจัง ไก่ย่างแซ่บจัง ไก่ย่างแซ่บจัง ไก่ย่างแซ่บจัง ไก่ย่างแซ่บจัง ไก่ย่างแซ่บจัง
        พบกันอีกครั้งเป็นประจำทุกๆ วันศุกร์ก่อนวันหยุดสุดสัปดาห์ ในคอลัมน์พาชิมของหนังสือพิมพ์ “บ้านเมือง” รายวัน โดยมี “แม่ลิ้นจี่” เจ้าเก่าคอยเป็นผู้สรรหาอาหารอร่อยหลากหลายบรรยากาศ ตั้งแต่ระดับติดดินไปจนถึงระดับหรูหรามาแนะนำให้แฟนคอลัมน์ได้พากันไปเยี่ยมชิม....!!!
        นี่ก็เหลืออีกเพียงหนึ่งสัปดาห์คอลัมน์ “แม่ลิ้นจี่พาชิม” ก็จะครบ 6 ขวบปีเต็ม และเมื่อถึงวันครบรอบกันทั้งทีก็คงต้องมีอะไรดีๆ มาฝากกัน นั่นก็คือ “แม่ลิ้นจี่” จะมี Gift Voucher จากห้องอาหารต่างๆ มามอบให้แฟนคอลัมน์ ส่วนกฎกติกาจะเป็นอย่างไรนั้นอ่านดูได้ในคอลัมน์ “คุยก่อนชิม”         ส่วนอาหารอร่อยประจำสัปดาห์นี้แม่ลิ้นจี่ยังคงมีเมนูเด็ดๆ มาแนะให้พากันไปแวะชิมเหมือนเช่นเคย และก็คงจะเป็นที่ถูกปากถูกใจสำหรับท่านที่ชอบรับประทานอาหารรสจัดจ้านกันเป็นพิเศษ เพราะฟังแค่ชื่อร้านก็บ่งบอกได้ถึงความเผ็ดร้อนของอาหารสารพัดชนิดที่มีอยู่ในเมนูของร้านนี้ ร้านที่ว่านี้เขามีชื่อว่าร้าน “แซ่บจัง”
        และเหตุที่ต้องมาเขียนแนะนำก็เพราะว่าปากต่อปากบอกเล่ากันมาว่า อาหารของร้านนี้เขาทำได้...แซ่บจัง...สมกับที่นำมาตั้งเป็นชื่อร้าน เลยทำให้คนที่ชอบสรรหาของกินอย่างแม่ลิ้นจี่ต้องรีบมาเยี่ยมชิมเพื่อเก็บเกี่ยวข้อมูลของบรรยากาศและรสชาติของอาหารนำมาเล่าสู่กันฟัง
        จากการที่ได้พูดคุยกับ “คุณสุชาดา เลี่ยมแก้ว” หรือ “คุณหมู” ซึ่งเป็นเจ้าของร้านได้เล่าความเป็นมาของร้านนี้ให้ฟังว่า ตนเองนั้นมีงานประจำเป็นเลขา กก.ผจก.ใหญ่ บริษัท อะโรเมติกส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ ปตท. และเหตุที่มาเปิดร้านนี้ก็เพราะว่าตนเองและสามีเป็นคนที่ชอบสรรหาอาหารอร่อยรับประทาน และเป็นคนที่สนใจในการปรุงอาหาร เมื่อมีโอกาสก็เลยมาเปิดร้านเป็นธุรกิจเสริมในยามว่างได้ประมาณเกือบ 2 ปี โดยในช่วงกลางวันจะมี “คุณศรัญย์ เลี่ยมแก้ว” ซึ่งเป็นลูกชาย และมีอาชีพเป็นโปรกอล์ฟคอยดูแล ส่วน “คุณหมู” จะมาช่วยดูแลหลังจากเลิกงานในยามเย็น
        “คุณหมู” สาธยายต่อไปไปว่า ที่ร้านนี้จะเน้นขายอาหารไทยและอาหารอีสานเป็นเมนูหลัก โดยจะมีอาหารสารพัดชนิดให้เลือกสั่งมากมายกว่า 200 ชนิดในเมนู ทางด้านวัตถุดิบก็จะคัดสรรแต่เฉพาะวัตถุดิบที่มีคุณภาพ สนนราคาค่าอาหารก็ไม่แพง เริ่มต้นที่จานละ 30 -180 บาท ที่สำคัญร้านนี้จะเน้นปรุงอาหารรสจัดแบบไทยๆ จึงเป็นที่มาของชื่อร้านว่า “แซ่บจัง” 
        


        ส่วนบรรยากาศของร้านจะแบ่งออกเป็น 2 โซน ด้านนอกจะเป็นระเบียงแบบโอเพ่นแอร์ประดับประดาด้วยต้นไม้ดูร่มรื่น ส่วนด้านในจะเป็นห้องแอร์เย็นฉ่ำ ผนังเป็นกระจกใสแจ๋วมองเห็นทัศนียภาพริมบึงน้ำได้ชัดเจน สภาพภายในดูสะอาดสะอ้านตั้งแต่ตัวร้าน ห้องนำ ไปจนถึงห้องครัว ที่กล้าการันตีเพราะ “แม่ลิ้นจี่” เดินสำรวจจนทั่วร้าน ทีนี้ก็ถึงเวลาที่เราจะสั่งอาหารมาชิมลิ้มลองกันได้แล้ว ขอเริ่มต้นจานแรกกันที่

ไก่ย่างชวนชื่น... ซึ่งเป็นสูตรการปรุงแบบโบราณ โดยเขาจะนำไก่สาวพันธุ์เนื้อตัวขนาด 8 ขีด นำไปหมักกับเครื่องปรุงมี กระเทียม พริกไทย รากผักชี ซอสปรุงรส และนมสดเพื่อให้เนื้อนุ่มเนียน หมักไว้นานกว่า 3 ชั่วโมงจนเครื่องปรุงซึมซาบเข้าเนื้อใน ก่อนนำไปย่างบนเตาไฟอ่อนๆ ค่อยๆ ให้สุกไปทีละน้อย จนหนังไก่เกรียมกรอบเนื้อในสุกกำลังดี สับแยกร่างมาเป็นชิ้นๆ เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้ม 2 รส 2 แบบ มีทั้งน้ำจิ้มหวาน และน้ำจิ้มแบบแจ่วแบบอีสาน ความอร่อยอยู่ที่หนังไก่ย่างจนกรอบกรุบ เนื้อไก่นุ่มเนียนอร่อยลิ้น ในราคาตัวละ 120 บาท
     
ตำโคราช... จากฝีมือการตำของพ่อครัวชาวอีสานขนานแท้ ซึ่งเมนูจานนี้ตามตำรับเขาว่าเป็นเนื้อคู่กันกับไก่ย่าง โดยเขาจะนำมะละกอดิบสับซอยเป็นเส้น นำไปตำรวมกับพริกขี้หนูสด มะเขือเทศ ถั่วฝักยาว กุ้งแห้ง ปูนาต้มสุก เพิ่มรสชาติยวนยั่วน้ำลายด้วยน้ำปลาร้าอย่างดีต้มสุก ปรุงรสออกเผ็ดนำ เปรี้ยว เค็ม โรยหน้าด้วยแค็ปหมู ความอร่อยอยู่ที่รสชาติจัดจ้านของเครื่องปรุง บอกได้คำเดียวว่า...แซ่บจัง ในราคาจานละ 40 บาท

ต้มแซ่บกระดูกอ่อน... เมนูนี้เป็นอีกอย่างที่ขึ้นชื่อของร้านนี้ โดยเขาจะนำกระดูกอ่อนหมูสับเป็นชิ้นๆ พอคำ ก่อนนำไปต้มกับสมุนไพรไทยมี ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด หอมแดง พริกขี้หนูสด ปรุงรสออกเปรี้ยวนำ เค็ม เผ็ด และหวานนิดๆ ติดปลายลิ้น โรยหน้าด้วยพริกแห้งทอด เสิร์ฟมาในหม้อไฟเดือดพล่าน ความอร่อยอยู่ที่กระดูกอ่อนหมูเคี้ยวได้กรอบกรุบสนุกปาก ตักซดได้คล่องคอรสแซ่บจนเหงื่อซึม ในราคา 65-100 บาท 
ปีกไก่ทอด... เมนูจานนี้เด็กกินได้ผู้ใหญ่กินดีเพราะไม่มีรสเผ็ดมาเจือปน โดยเขาจะนำปีกไก่ส่วนกลางทั่คัดขนาดมาเป็นพิเศษ นำไปหมักกับซอสปรุงรสและพริกไทยเล็กน้อย คลุกแป้งก่อนนำไปทอดในน้ำมันจนสุกเหลือง ความอร่อยอยู่ที่ปีกไก่ที่ทอดมาจนกรอบนอกนุ่มในกัดกินได้เต็มปากเต็มคำ จิ้มกินกับซอสมะเขือเทศหรือน้ำจิ้มแจ่วอร่อยอย่าบอกใคร ในราคาจานละ 65 บาท

ปลาช่อนโบราณ... เมนูทั่วไปแต่อยู่ที่ทีเด็ดของแต่ละร้าน โดยเขาจะนำปลาช่อนไซด์ขนาด 8 ขีด ขอดเกล็ดบั้งข้างตัวนำไปทอดจนสุกกรอบ ราดด้วยน้ำราดที่มีส่วนผสมของ หอมแดงซอย ตะไคร้ซอย พริกขี้หนูสับ มะม่วงดิบซอย ถั่วลิสงทอด น้ำพริกเผา ปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียก ให้ออกเปรี้ยวนำ เค็ม หวาน และเผ็ด โรยหน้าด้วยงาขาว พริกแห้งทอด และใบสะระแหน่ ความอร่อยอยู่ที่เนื้อปลาช่อนสดหวาน บวกกับน้ำราดรสกลมกล่อม ในราคาจานละ 180 บาท

        นอกจากนี้ก็ยังมีอีกหลายชนิดที่น่าชิมในเมนู อาทิ ยำแซ่บจัง เมี่ยงปลาช่อน หมูตกครก ปลาทับทิมเผาเกลือ ข้าวผัดน้ำพริกกุ้งสดเสิร์ฟพร้อมปลาทูทอด ฯลฯ ชอบแบบไหนก็ต้องลองแวะมาชิมกันเอง ถ้าไม่สะดวกมาที่ร้านเขาก็มีบริการเดลิเวอรี่จัดส่งให้ถึงที่รัศมีไม่เกิน 5 ก.ม. จากที่ร้าน ค่าจัดส่งตามระยะทาง
        ที่ร้านนี้จะเปิดบริการกันทุกวัน ตั้งแต่เวลา 11.00-22.00 น. (หยุดทุกวันจันทร์ที่ 2 และที่ 4 ของทุกเดือน) สถานที่ตั้งของร้านจะอยู่ในซอยแจ้งวัฒนะ 14 (ซอยข้างโรงพยาบาลมงกุฏวัฒนะ) เข้าไปถึงป้อมยามหมู่บ้านเมืองทองนิเวศร์ 1 เลยเข้าไปอีก 600 เมตร จะเห็นร้านอยู่ขวามือตรงข้ามกับบึงน้ำ หรือถ้าเกรงว่าจะหากันไม่เจอก็โทรมาสอบถามเส้นทางกันก่อนได้ที่ 0-2573-4045 และ 08-1924-9903   


ว่างกันเมื่อไรก็ขอเชิญแวะเวียนไปชิมกันได้ สำหรับวันนี้คงต้องขอแนะนำกันแต่เพียงแค่นี้
แล้วพบกับ “แม่ลิ้นจี่พาชิม” ได้ใหม่ในสัปดาห์ต่อไปนะคะ....!!

อาหารรสชาติต้นตำรับที่ร้าน "บางบัว"


 
อาหารรสชาติต้นตำรับที่ร้าน "บางบัว"....
 
"แม่ลิ้นจี่พาชิม" วันที่ 7 ธันวาคม 2550
 
        พบกันอีกครั้งเป็นประจำทุกๆวันศุกร์สุดสัปดาห์ สำหรับสัปดาห์นี้จะเป็นช่วงเวลาที่พิเศษสักนิดหนึ่ง คือเราจะพาชิมกันเฉพาะในเว็บไซต์ เพราะ "แม่ลิ้นจี่" ต้องหลีกทางให้กับผู้สนับสนุนที่มีพระคุณใน "หนังสือพิมพ์บ้านเมืองรายวัน" ที่ฉบับวันนี้พื้นที่ของหน้ากระดาษได้ "เต็ม" จากสปอนเซอร์รายใหญ่ เราก็เลยต้องมาพบกันที่เว็บไซต์ "น่าชิมดอทคอม" เพียงแห่งเดียวเท่านั้น แต่ถึงจะอยู่ในสถาณการณ์เช่นไร "แม่ลิ้นจี่" ก็ยังคงต้องปฏิบัติหน้าที่สรรหาร้านอร่อยมาให้ท่านผู้อ่านได้สัมผัสเหมือนเช่นเคย

         สำหรับร้านอร่อยประจำสัปดาห์นี้ เป็นร้านที่ "แม่ลิ้นจี่" คุ้นเคยมานาน ตั้งแต่ปี 2544 โน่นแน่ะ... สถานที่ของร้านก็กว้างขวาง มีพื้นที่สำหรับจัดงานเลี้ยงจำนวนมากมายหลายร้อยที่นั่ง อย่างในช่วงนี้บางวันทางร้านต้องรองรับงานแต่งงานถึง 3 คู่ต่อวันก็มี ซึ่งที่ร้านที่จะแนะนำนี้ยังคงไว้ซึ่งความเป็น "สวนอาหาร" อย่างแท้จริง คือเขาจะมีอาหารสารพัดอย่างที่เราอยากจะกิน มากกว่า 200 รายการ ครบทั้ง กุ้ง หอย ปู ปลา หมู ไก่ เนื้อ ปรุงรสชาติสไตล์ดั้งเดิม ที่เก่าแก่มานานกว่า  30 ปี ที่สำคัญราคาไม่แพง เพราะเขาเน้นการขายอาหาร(จริงๆ)...
 
        และยิ่งเป็นช่วงส่งท้ายปีอย่างนี้ หลายท่านที่กำลังมองหาร้านอาหารอร่อยๆ มีสถานที่กว้างขวงสามารถใช้เป็นที่จัดเลี้ยงสังสรรค์ได้จำนวนมากในราคาที่ไม่แพง "แม่ลิ้นจี่" ก็จะขอแนะนำร้านนี้ มีชื่อว่า "สวนอาหารบางบัว" มีให้เลือก 2 สาขา สาขาแรกคือ..สวนอาหารบางบัว(บางเขน) ตรงข้ามกรมทหารราบที่ 11 ถนนพหลโยธินและสาขาที่ 2 ตั้งอยู่ริมถนนติวานนท์ อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี... ที่เปิดบริการกันมานานมากๆ บริหารงานโดย "คุณประสิทธิ์-คุณบำรุง ขานวล” สองสามีภรรยาที่คลุกคลีอยู่ในวงการนานกว่า 30 ปี และตอนนี้ทางร้านได้หนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรงอีกคนมาช่วยงาน ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเขาคือ "คุณเอก...ธานินทร์ ขานวล "ลูกชายของคุณประสิทธิ์นั่นเอ
 
        บนสถานที่กว้างขวางร่มรื่นตั้งอยู่บนเนื้อที่รวม 4 ไร่ ที่สาขาบางเขน และ 6 ไร่ ที่สาขาปทุมธานี แบ่งโซนห้องจัดเลี้ยงทั้งห้องเล็กและห้องใหญ่ ... แต่ละห้องจุคนได้กว่า 100 คน หรือชอบสูดอากาศบริสุทธิ์แบบโอเพ่นแอร์ จะเลือกนั่งด้านนอกก็ได้..สบายไม่แพ้กัน
 
  
 
        สำหรับอาหารที่ร้านนี้จะเน้นอาหารไทย จีน และซีฟู๊ดสดๆ ส่วนในเรื่องรสชาติไม่ต้องพูดถึง..เพราะเจ้าของร้านนั้นใส่ใจในคุณภาพเป็นพิเศษ จากการพูดคุยคุณประสิทธิ์ ได้บอกกับ "แม่ลิ้นจี่"ว่า จะขายอาหารและเครื่องดื่มแพงๆไม่ได้ เพราะลูกค้าที่มารับประทานกันเป็นขาประจำมานมนานแล้ว ยิ่งตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดี ถ้าปรับราคาขึ้นมากไปก็จะเป็นการเพิ่มภาระให้ลูกค้า อาศัยว่าพอมีกำไรไม่ขาดทุน เหลือเป็นรายได้นิดหน่อยก็พอแล้ว อาหารทุกจานก็เลยยังคงรักษาคุณภาพเหมาะสมกับราคาจริงๆ
 
        อาหารจานเด่นที่จะแนะนำให้ลองสั่งมาชิมกันก็มี...
 
ปูเค็มหลน...เขาใช้ปูเค็มอย่างดี นำมาหลนแบบเข้มข้น ที่ครบรสชาติด้วยความหอมมัน หวาน เค็ม เผ็ด นิดหน่อยๆ กินกับผักสด เช่น ขมิ้นขาว แตงกวา ผักกาดขาว มะเขือต่างๆ ในราคาที่ละ 80 บาท...
 
  
 
แกงคั่วหอยขม...นำหอยขมสดต้มสุกแล้วแกะเอาแต่เนื้อ นำน้ำพริกแกงโขลกเองผัดกับหัวกะทิสดจนแตกมัน เติมหางกะทิต้มจนเดือด ใส่หอยขม ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล โรยหน้าด้วยใบมะกรูด จะได้แกงคั่วที่มีรสชาติเค็ม เผ็ด หวานนิดๆ อร่อยได้แบบไม่ต้องแกะ ในราคาชามละ 80 บาท
 
ปลากระพงขาวทอดน้ำปลา..เขาใช้ปลากระพงขนาด ขนาด 7-8 ขีด แบบสดๆเป็นๆ นำมาทำความสะอาดแล้วผ่ากลางตัว เลาะเอาก้างออก นำไปคลุกน้ำปลาอย่างดีและพริกไทย ก่อนจะนำไปทอดจนกรอบเหลือง ความอร่อยอยู่ที่ปลาตัวใหญ่ที่ทอดจบกรอบนอกนุ่มในไร้ซึ่งก้างที่มีรสเค็มติดปลายลิ้น จิ้มกินกับน้ำจิ้มรสจัดจ้าน ในราคาตามน้ำหนัก คือ ขีดละ 40 บาท...
 
  
 
ผัดเห็ด 3 อย่าง...เมนูนี้สำหรับที่มีความชอบในการรับประทานเห็ด เขาจะใช้เห็ดฟาง เห็ดเข็มทอง และเห็ดหอม ผัดให้สุกแบบพอดีๆ ไม่สุกจนเละ ใส่น้ำมันหอย ต้นหอม พริกไทย จะได้อาหารจานเด็ดที่มีรสชาติความอร่อยจากเห็ดแต่ละอย่างกรอบกรุบ นุ่ม อร่อย ที่แตกต่างกัน ในราคาจานละ 100 บาท...
 
  
 
ขาหมูทอด...ก่อนอื่นต้องขอเตือนก่อนนะคะว่าถ้าจะสั่งเมนูนี้ ต้องมาหลายๆคน เพราะเป็นอาหารจานใหญ่มาก เขาใช้ขาหมูทั้งขามีคากิให้ด้วย นำไปนึ่งจนสุกพอประมาณ ปรุงรสด้วยเกลือป่น นำมาทอดในน้ำมันจนหนังฟูกรอบ...เนื้อในนุ่ม เวลาเสิร์ฟเขาจะสับเป็นชิ้นๆมาให้เสร็จสรรพเพื่อความสะดวกในการกิน จิ้มกินกับน้ำจิ้มซีอิ๊วดำหวานเค็ม หรือจะจิ้มกับน้ำจิ้มพริกขี้หนูสวนสับละเอียดรสเปรี้ยวเค็มแก้เลี่ยนได้ดีนัก ในราคาเพียงขาละ 200 บาท
            นอกจากนี้ยังมีอาหารที่น่าพากันไปชิมอีกมากมายหลากหลายชนิด อาทิ เป็ดล่อน หอยเชอรี่ผัดน้ำมันหอย กระทงทอง เส้นใหญ่ทอดราดหน้าทะเล แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย-ไข่เค็ม เป็นต้น
 
            เป็นอย่างไรบ้างคะ ท่านผู้ชมเว็บคงจะได้รู้จักเมนูเด็ดรสชาติไทยๆ ของสวนอาหารบางบัวกันบ้างแล้ว วันนี้ “แม่ลิ้นจี่” คงจะแนะนำเพียงเท่านี้ก่อน ว่างกันวันไหนลองแวะมาสัมผัสรสชาติอาหารหลากหลายชนิดของที่ร้านกันดูได้ เขาเปิดบริการตั้งแต่เวลา 10.30-22.30 น. ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นที่สาขาปทุมธานี หรือสาขาบางเขนคุณภาพเท่าเทียมกัน จะสั่งจองโต๊ะ หรือสอบถามเส้นทางโทรกันมาได้ที่หมายเลข 0-2551-1793 สาขาบางเขน และ 0-2979-6970-1 สาขาปทุมธานี แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้า สวัสดีค่ะ...
 
"....
 

ก๋วยจั๊บญวน

 “ก๋วยจั๊บญวน-แหนมเนือง”...
...อาหารเวียดนามจานเด็ด ที่ร้าน “ญีญวน”...
        พบกันอีกครั้งเป็นประจำทุกๆ สัปดาห์ในคอลัมน์พาชิมของหนังสือพิมพ์ “บ้านเมือง” รายวัน ฉบับประจำวันศุกร์สุดท้ายของเดือนพฤศจิกายน 2550 ถ้าจะนับถอยหลังจากวันนี้ก็คงเหลืออีกแค่เพียงหนึ่งเดือนก็จะก้าวเข้าสู่ปีพุทธศักราชใหม่กันอีกครั้ง....!
        กาลเวลาช่างพ้นไปรวดเร็วเสียนี่กระไร เผลอแว็บเดียวคอลัมน์ “แม่ลิ้นจี่พาชิม” ก็ครบรอบ 6 ปีไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แต่ถึงจะผ่านไปกี่ปีก็ตามแต่ “แม่ลิ้นจี่” ก็ยังคงมีหน้าที่ประจำ คือ คอยสรรหาความอร่อยมานำเสนอให้แฟนคอลัมน์ได้พากันไปลองชิมเหมือนเช่นเคย
        เมื่อหลายวันก่อนเป็นจังหวะดีที่เพื่อนพ้องน้องพี่ในแวดวงคนทำสื่อ ได้นัดแนะกันไปกินอาหารอร่อยซึ่งก็เป็นกิจวัตรที่เคยทำกันมาอยู่เป็นประจำ แต่เพื่อให้หลีกลี้หนีความจำเจจากอาหารรสชาติเดิมๆ คราวนี้มติส่วนใหญ่ของพลพรรคเลือกที่จะพากันไปลิ้มลอง “อาหารเวียดนาม” รสอร่อยกันที่ร้าน “ญีญวน” แต่ไม่ใช่ยวนยีหรือยวนยั่ว ที่ตั้งอยู่ในย่านประชานิเวศน์ ซึ่งหลายคนต่างการันตีกันว่าอาหารเวียดนามจานเด็ดของร้านนี้เขาอร่อยขึ้นชื่อ อีกทั้งยังเป็นอาหารเพื่อสุขภาพกินได้กินดีแบบไม่ต้องกลัวอ้วน เพราะอาหารแต่ละย่างเขาจะกินควบคู่กับผักปลอดสารพิษนานาชนิด แถมสนนราคาก็ไม่แพงเหมาะสมกับยุคเศรษฐกิจพอเพียงอย่างในปัจจุบัน และเมื่อมาถึงที่นี่กันทั้งทีก็คงต้องหาข้อมูลอะไรดีๆ มาเล่าสู่กันฟังอีกตามเคย
        จากการที่ได้พูดคุยกับ “คุณอิ๋ว” หรือ “คุณวราลักษณ์ โชคพระสมบัติ” สาวสวยจากจังหวัดหนองคายซึ่งเป็นเจ้าของร้าน ได้ย้อนถึงจุดเริ่มต้นของร้าน “ญีญวน” ให้ฟังว่า ที่ร้านนี้เปิดบริการอยู่ 2 แห่ง สาขาแรกนั้นเปิดบริการมานานกว่า 5 ปี อยู่ที่บางบัวทอง ส่วนสาขาที่ 2 เปิดบริการมาได้ 1 ปี อยู่ในย่านประชานิเวศน์ ตรงข้ามกับสถานีตำรวจนครบาลประชาชื่น ซึ่งที่สาขา 2 นี้จะเน้นบรรยากาศเรียบง่ายแบบครอบครัว ด้านในจะเป็นห้องแอร์คอนดิชั่น แบ่งแยกเป็นห้องจัดเลี้ยงแบบส่วนตัวอีก 2 ห้อง ส่วนด้านนอกจะเป็นบรรยากาศแบบโอเพ่นแอร์มีโต๊ะให้เลือกนั่งหลายมุมมอง
 
 
        ส่วนทางด้านอาหารนั้น...เนื่องจากตนเองเกิดและเติบโตที่จังหวัดหนองคายซึ่งเป็นจังหวัดที่มีชาวเวียดนามพักอาศัยอยู่มากมาย จึงคุ้นเคยกับคนเวียดนามและอาหารเวียดนามเป็นอย่างดี ถึงขนาดเคยร่ำเรียนการทำอาหารเวียดนามต้นตำรับจนสามารถปรุงอาหารได้ไม่แพ้ชาวเวียดนาม ที่ร้านนี้จะเน้นขายอาหารเวียดนามเป็นเมนูหลัก มีอาหารให้เลือกสั่งกว่า 100 ชนิดในเมนู วัตถุดิบทุกชนิดจะปรุงแต่งเองภายในร้าน ไม่ว่าจะเป็น หมูยอ หมูย่าง กุ้งพันอ้อย เส้นก๋วยจั๊บ ฯลฯ  
       ซึ่งอาหารเวียดนามเกือบทุกชนิดจะต้องมีผักสดเป็นเครื่องเคียง ที่นี่จึงคำนึงและห่วงใยในสุขภาพของลูกค้าจึงเลือกใช้ผักปลอดสารพิษ “ไฮโดรโปรนิก” เช่น ผักไดโตเกียว และผักกาดหอม ซึ่งส่งตรงมาจากฟาร์มบางปะกง อาหารทุกจานอร่อยได้โดยปราศจากผงชูรส ที่สำคัญสนนราคาก็ไม่แพง เริ่มต้นที่จานละ 40-160 บาท และอาหารจานแรกที่จะแนะนำให้ลองสั่งมาชิมลิ้มลองในวันนี้ก็มี

แหนมเนือง... เป็นเมนูสุดฮ็อทของคนไทยที่อิ่มเอมกันได้แบบไม่ต้องกลัวน้ำหนักเพิ่ม ในหนึ่งชุดจะมีทั้ง หมูย่าง สับปะรด กล้วยดิบ มะม่วงดิบ กระเทียม แตงกวา พริกขี้หนู ที่หั่นมาเป็นชิ้นเล็กพอคำ และเส้นขนมจีน ตักทุกอย่างใส่แผ่นแป้งเนื้อนุ่มเนียน หยอดน้ำจิ้มรสเปรี้ยว เค็ม หวาน ห่อแป้งให้มิดชิดหยิบเข้าปากเคี้ยวกินได้เพลิดเพลิน ตามด้วยผักสดนานาชนิดที่เสิร์ฟมาเป็นตะกร้าใหญ่ ความอร่อยอยู่ที่หมูย่างรสนุ่มละมุนลิ้นไร้ซึ่งกลิ่นสาบ บวกกับน้ำจิ้มรสเด็ด เสิร์ฟมาเป็นชุดในราคา 99 บาท สั่งผักเพิ่มจ่ายอีก 15 บาท
 
    
 
 
ปากหม้อญวน... เมนูจานนี้ก็อร่อยไม่แพ้กัน โดยเขาจะนำแป้งผสมน้ำทาบนผ้าขาวบางที่ขึงตรึงบนปากหม้อปิดฝาครอบไว้ รอให้ไอน้ำร้อนจากด้านล่างพ่นผ่านจนเนื้อแป้งสุกขาวนวล ใส่เนื้อหมูสับปรุงรสที่รวนมาจนสุกร่วนลงไปบนแผ่นแป้ง พับม้วนเป็นท่อนกลมยาวโรยหน้าด้วยหอมแดงเจียวเสิร์ฟพร้อมหมูยอหั่นและน้ำจิ้ม ความอร่อยอยู่ที่เนื้อแป้งนุ่มเนียนด้านนอก บวกกับเนื้อหมูสับปรุงออกเค็มนิดๆ ติดปลายลิ้น ใช้ช้อนตักแค่พอคำราดน้ำจิ้มเคี้ยวกินพร้อมหมูยอและผักสดอร่อยอย่าบอกใคร ในราคาจานละ 70 บาท
 
กุ้งพันอ้อย... เขาจะใช้เนื้อกุ้งสดบดละเอียดคลุกเคล้าด้วยเครื่องปรุง ปั้นเป็นก้อนโดยมีอ้อยเป็นแกนกลาง ก่อนนำไปทอดจนสุกเหลือง เสิร์ฟพร้อมเส้นหมี่ขาวโรยหน้าด้วยหอมแดงเจียว เคียงข้างด้วยน้ำจิ้มผสมแครอทหั่นฝอย รสเปรี้ยว เค็ม หวาน ความอร่อยอยู่ที่เนื้อกุ้งบดที่นวดมาจนเหนียวนุ่ม บวกกับน้ำจิ้มรสเด็ดที่มีส่วนผสมของน้ำมะพร้าวอ่อน ในราคาจานละ 75 บาท
 
    
 
ก๋วยจั๊บญวน... ลองสั่งเมนูนี้มาซดน้ำกันดูบ้าง เขาจะใส่เส้นก๋วยจั๊บทำเองลวกสุก หน้าตาจะละม้ายคล้ายเส้นอุด้งของญี่ปุ่น ใส่กระดูกหมูอ่อน หมูยอ เห็ดหอม โรยหน้าด้วยหอมแดงเจียว และผักชีฝรั่งหั่นฝอยใส่ชามเสิร์ฟมาร้อนๆ ความอร่อยอยู่ที่เส้นก๋วยจั๊บกลมแน่นเหนียวนุ่ม และกระดูกอ่อนหมูเคี้ยวได้กรุบกรุบสนุกปาก บวกกับน้ำซุปที่ต้มเคี่ยวจนกลมกล่อมซดได้คล่องคอ ในราคาชามละ 50 บาท
ฟองดู...เมนูจานนี้ต้องลองดู... หน้าตาคุ้นๆ เหมือนจิ้มจุ่มของบ้านเรา เขาจะเสิร์ฟวัตถุดิบมาในถาดหลุมมีทั้ง กระเทียมหั่นฝอย กล้วยดิบหั่น ตะไคร้ซอย สัปปะรด และเส้นหมี่ขาว ของสดก็มี กุ้ง เนื้อปลา เนื้อหมู และปลาหมึก เสิร์ฟมาพร้อมน้ำซุปในหม้อไฟเดือดพล่าน และผักสดนานาชนิด ตักทุกอย่างใส่ลงในหม้อรอให้สุกแล้วค่อยกิน เมื่อทุกอย่างผสมผสานจนได้ที่ผลที่ได้ก็คือความอร่อยและกลมกล่อม ตักแบ่งใส่ถ้วยเหยาะน้ำจิ้มรสจัดจ้านลงไปนิดแล้วจะติดใจ ในราคาชุดละ 160 บาท
 
   

กล้วยหอมทอด... ลองมาชิมขนมหวานหันดูบ้าง เขาจะนำกล้วยหอมสุกคลุกด้วยแป้งนำไปทอดจนกรอบนอกนิ่มใน ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำมันใส่จานโรยด้วยไอซ์ซิ่ง เสิร์ฟพร้อมน้ำผึ้งป่าที่หาได้ปีละครั้ง ความอร่อยอยู่ที่กล้วยหอมสุกนุ่มนิ่มด้านในและแป้งที่ห่อหุ้มด้านนอก ที่เด็ดขาดก็คือเขาจะใช้น้ำผึ้งป่าแท้รสหวานซาบซ่าแทนคาราเมล สั่งมาชิมกันได้ ในราคาจานละ 45 บาท ถ้าเพิ่มไอศกรีมก็ราคา 60 บาท 
        นอกจากนี้ยังมีอีกหลายชนิดที่น่าลิ้มลอง เช่น ปอเปี๊ยะกุ้งสด, เส้นหมี่หมูย่าง, หมูยอนึ่ง-ทอด, ขนมเบื้องญวน น้ำตะไคร้ น้ำกระเจี๊ยบ ฯลฯ  และในช่วงกลางวันยังมีอาหารจานด่วนจานเดียวไว้บริการในราคาประหยัด เช่น ก๋วยเตี๋ยวญวน ถูกปากถูกใจอาหารแบบไหนก็ขอเชิญเลือกสั่งกันเองได้ในเมนู 
        ที่ร้านนี้จะเปิดบริการกันทุกวัน ตั้งแต่เวลา 11.00-22.00 น.  สถานที่ตั้งของร้านถ้ามาจากถนนวิภาวดีรังสิต เลี้ยวเข้ามาทางวัดเสมียนนารี (ถนนเทศบาลสงเคราะห์) ถึงแยกไฟแดงเลี้ยวขวาผ่านท็อบส์ซูเปอร์มาร์เก็ต ถึงทางแยกหน้า สน.ประชาชื่น เลี้ยวขวาจะเห็นร้าน “ญีญวน” สาขา 2 อยู่ขวามือ หรือถ้าเกรงว่าจะกันไม่เจอก็โทรมาสอบถามเส้นทางกันก่อนได้ที่ 0-2953-8116-8(สาขาประชาชื่น) และ 0-2920-4090 (สาขาบางบัวทอง)
 
สะดวกกันเมื่อไรก็ขอเชิญแวะเวียนไปเยี่ยมชิมกันได้ สำหรับวันนี้ต้องขอแนะนำกันแต่เพียงแค่นี้ แล้วพบกับ “แม่ลิ้นจี่พาชิม” ได้ใหม่ในสัปดาห์ต่อไปนะคะ....! (ค้นหาข้อมูลร้านอาหารย้อนหลังได้ในwww.naachim.com

“ไก่นาแรงเยอ


. อาหารไทยโบราณขนานแท้ 
... ที่ร้าน “ไก่นาแรงเยอร์” ถนนประดิษฐ์มนูธรรม...
 
พบกันอีกครั้งเป็นประจำทุกสัปดาห์ ในคอลัมน์พาชิมของหนังสือพิมพ์ “บ้านเมืองรายวัน” โดยมี “แม่ลิ้นจี่” เจ้าเก่าคอยเป็นผู้สรรหาร้านอาหารอร่อยพร้อมด้วยเมนูเด็ดๆ มาแนะนำให้แฟนคอลัมน์ได้พากันไปทดลองชิมเหมือนเช่นเคย....!
 
มีบางคนพูดกันว่า “แม่ลิ้นจี่” ชอบแนะนำแต่ร้านก๋วยเตี๋ยว ช่วงก่อนหน้านี้เคยแนะนำร้านอาหารที่มีระดับก็บ่นกันว่าแม่ลิ้นจี่ชอบแนะนำแต่ร้านแพงๆ แต่ถ้าคนที่เป็นแฟนประจำ และติดตามอ่านกันมาตลอดแล้วก็จะรู้ว่า ร้านอาหารที่แม่ลิ้นจี่แนะนำจะหมุนเวียนเปลี่ยนกันไปหลากหลายระดับ และหลากหลายบรรยากาศ และจะเน้นหนักไปที่ร้านแบบครอบครัวสามารถเข้าไปสัมผัสกันได้ คนที่อ่านหนังสือพิมพ์บ้านเมืองมีอยู่หลายกลุ่ม ถ้าจะเอาใจคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งก็คงจะไม่ถูกต้องนัก เพราะเศรษฐกิจแบบนี้มีคนว่างงานกันอยู่มากมาย จะแนะนำให้กินของแพงกันบ่อยๆ ก็จะเสียแฟนอีกกลุ่มหนึ่งไปนะเจ้าคะ
 
ร้านอาหารอร่อยประจำสัปดาห์นี้แม่ลิ้นจี่ก็เลยจะเปลี่ยนบรรยากาศพากันมาแวะชิมอาหารอร่อยแบบพื้นบ้านขนานแท้กันดูบ้าง ร้านที่จะแนะนำกันในวันนี้ก็คือร้าน “ไก่นาแรงเยอร์” ซึ่งเขามีชื่อเสียงกันมานานกว่า 30 ปี และเพิ่งจะย้ายร้านมาเปิดบริการอยู่ที่ริมถนนเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา (ถนนประดิษฐ์มนูธรรม) เมื่อประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา ซึ่งหลายท่านคงจะรู้จักคุ้นเคยกันดีเพราะเขาเคยเปิดขายมาหลายที่ ไม่ว่าจะเป็นที่สี่แยกซอยอุดมสุข, ถนนบางนา-ตราด ก.ม.8-9, ซอยงามดูพลี ถนนพระราม 4 มาจนถึงร้านปัจจุบัน
 
ที่ร้านนี้เขาจะเน้นบรรยากาศแบบสบายๆ สไตล์โอเพ่นแอร์ เป็นเรือนไม้เก่ารายรอบสระน้ำทั้งสี่ด้าน อาหารที่ขายก็เป็นอาหารไทยโบราณพื้นบ้านสูตรดั้งเดิมทั้ง 4 ภาค ไม่มีการปรุงแต่งให้หรูหราแบบอาหารไทยประยุกต์ ซึ่งในเมนูจะมีให้เราได้เลือกชิมมากมายร้อยกว่าชนิด สนนราคาก็เริ่มต้นกันที่ 80 บาทไปจนถึงหลักร้อยมากน้อยตามแต่วัตถุดิบที่นำมาปรุง
 
 
 
จากการที่ได้พูดคุยกับ “คุณป้าอมรรัตน์ เจนพรหมราช” เจ้าของร้าน หรือที่รู้จักกันในนาม “ป้าแรงเยอร์” ถึงแม้อายุจะย่างเข้าสู่วัย 60 ปีแต่ก็ยังมีเค้าโครงความสวยให้แลเห็น เพราะแต่ก่อนเก่านั้นคุณอมรรัตน์เคยมีดีกรีเป็นถึงนางงามของจังหวัดพิษณุโลกถิ่นกำเนิดของคุณป้า และเป็นหญิงแกร่งที่ต่อสู้ชีวิตมาอย่าโชกโชน ซึ่งคุณอมรรัตน์เล่าว่าที่มาของชื่อ “ไก่นาแรงเยอร์” นั้นมาจากน้องชายคือ “ร.อ.สมโภช เจนพรหมราช” อดีตทหารบกหน่วย “แรงเยอร์” ซึ่งเป็นวีรบุรุษในสมรภูมิเขาค้อยุคสงครามปราบปรามคอมมิวนิสต์ ซึ่งตอนนั้นได้ปฏิบัติการอยู่ในป่าลึกไร้ซึ่งเสบียงอาหาร ขณะที่หลบอยู่ในบังเกอร์พร้อมกับลูกน้องซึ่งกำลังหิวโหย เจ้าไก่ป่าดวงถึงฆาตเหมือนรู้ใจบินมาเกาะขอบบังเกอร์ ร.อ.สมโภช จึงได้สังหารตามแบบแรงเยอร์ที่ฝึกฝนมา (อธิบายไม่ได้เพราะหวาดเสียว) นำมาเป็นอาหารเพื่อประทังชีวิตท่ามกลางดงดิบ
 
หลังจากสงครามทางลัทธิสงบลงคุณอมรรัตน์ได้เข้ามาอยู่ในเมืองกรุงประกอบอาชีพโดยสุจริตหลายอย่าง จนมาเปิดร้านอาหารและนำวิธีการทำไก่แบบแรงเยอร์ตามสูตรของน้องชายมาทำขายจนเป็นที่ติดอกติดใจของลูกค้ามากมาย ซึ่งอาหารที่ร้านนี้เขาจะเน้นวิธีการปรุงแบบพื้นบ้านที่คุณป้าได้รับการสืบทอดมาจากคุณแม่และคุณย่า เครื่องปรุงและวัตถุดิบคุณป้าจะออกเดินตลาดคัดสรรแต่ของที่มีคุณภาพ อาหารของที่นี่จะมีรสชาติจัดจ้านเป็นที่ถูกใจของคนที่ชอบอาหารรสจัด และเป็นที่ชื่นชอบของนักร่ำสุราเป็นยิ่งนัก ส่วนอาหารจานแรกที่จะแนะนำให้ชิมกันในวันนี้ก็มี
 
ไก่นาย่างแรงเยอร์... เขาจะเลือกใช้แต่ไก่นาของแท้ ซึ่งเป็นไก่รุ่นสาวขนาดกำลังดีตัวไม่เล็กไม่ใหญ่ นำไปปรุงรสตามสูตรเฉพาะของที่ร้าน นำไปย่างจนแห้งสนิทจนออกสีเหลืองทองซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของร้านนี้ เขาจะสับแยกร่างเป็นชิ้นๆ เสิร์ฟมาในจานพร้อม “น้ำจิ้มแจ่วแมงดาสูตรเด็ด” ความอร่อยอยู่ที่เนื้อไก่เหนียวแต่นุ่ม รสเครื่องปรุงซึมซาบเข้าถึงเนื้อใน จิ้มกับน้ำจิ้มแจ่วที่ปรุงมาจากแมงดาแท้ๆ ในราคาตัวละ 260 บาท หรือจะสั่งเป็นไก่นาทอดเกลือ ไก่นาราดน้ำปลา ก็อร่อยไปอีกแบบ
ปลาช่อนแป๊ะซะลูกทุ่ง... เมนูนี้เป็นที่ถูกใจของคนที่ชอบอาหารรสแซ่บ เขาจะเลือกใช้แต่ปลาช่อนนาจริงๆ ไม่มั่วนิ่ม  มีให้เลือกสั่งหลายขนาดหลายราคา แต่ตัวที่สั่งมาชิมนี้หนักกิโลกว่า เขาจะนำไปขอดเกล็ดบั้งข้างตัวนำไปนึ่งจนสุกได้ที่ ใส่ในจานเปลราดด้วยน้ำแกงที่ปรุงแบบลูกทุ่ง มากมายด้วยเครื่องสมุนไพรทั้ง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ใบกระเพรา หอมแดงเผา พริกขี้หนูสับ เห็ดขอน พริกแห้งทอด ปรุงรสออกเผ็ดนำ เปรี้ยว เค็ม เสิร์ฟมาร้อนด้วยเตาที่ใช้ถ่านไม้แบบดั้งเดิม ในราคา 180-350-380 บาท
ปลาไหลผัดขี้เมา...เขาจะเลือกใช้ปลาไหลท้องนาตัวขนาดกำลังดี นำมาสับเป็นชิ้นๆ นำไปผัดกับพริกสด กระชายฝอย พริกไทยอ่อน มะเขือพวง ใบกระเพรา ปรุงรสออกเผ็ดนำ ความอร่อยอยู่ที่เนื้อปลาไหลสดหวาน บวกกับรสจัดจ้านของเครื่องปรุง ในราคาจานละ 140 บาท หรือจะเลือกสั่งเป็น “ปลาไหลต้มเปรต” ก็อร่อยไม่แพ้กัน
ลาบไข่มดแดง... เมนูจานี้เหมาะที่จะเป็นกับแกล้ม เขาจะนำไข่มดแดงเม็ดอวบอ้วนนำไปปรุงกับเครื่องยำมี ตะไคร้ ซอย ข่าซอย พริกขี้หนูสับ หอมแดงซอย ปรุงรสออกเปรี้ยวนำ ตามด้วยเผ็ด และเค็ม เสิร์ฟมาในจานมีใบชะพลูรอรับงอยู่ด้านล่าง จุดเด่นอยู่ที่ผักเครื่องเคียงมากมายซึ่งเป็นผักพื้นบ้านที่หากินได้ยาก ในราคาจานละ 120 บาท
 
นอกจากนี้ก็ยังมีอาหารที่น่าลิ้มลองอีกมากมาย เช่น แกงคั่วหอยขม ไส้หมูอ่อนย่างพริกไทยดำ ยำหัวปลีกล้วยน้ำว้า สะเก็ดระเบิด ฯลฯ คุณอมรรัตน์กล่าวว่ารู้สึกมีความสุขที่ได้สรรหาของดีให้ลูกค้าได้รับประทาน ถึงแม้วัตถุดิบที่หาซื้อมาราคาจะแพงกว่าทั่วๆ ไปก็ต้องซื้อ เพราะความดีที่เราทำส่งผลให้เรามีสุขภาพดีจนทุกวันนี้ ว่างกันวันไหนก็ลองแวะเวียนมาเยี่ยมชิมกันได้ สถานที่ตั้งของร้านจะอยู่เลยโรงเบียร์เยอรมันตะวันแดง สาขา 2 ไปนิดเดียว ที่ร้านนี้เขาจะเปิดบริการกันทุกวัน ตั้งแต่เวลา 11.00-24.00 น. แต่ถ้าเกรงว่าจะมากันไม่ถูกก็โทรมาสอบถามเส้นทางกันก่อนได้ที่ 0-2519-3835 และ 08-1255-6837 
 
 
สำหรับวันนี้คงต้องขอแนะนำกันแต่เพียงแค่นี้ แล้วพบกับ “แม่ลิ้นจี่พาชิม” ได้ใหม่ในสัปดาห์ต่อไปนะคะ.....!
 
ข้อมูลร้าน
ชื่อร้าน
ไก่นาแรงเยอร์
รูปแบบร้าน
สวนอาหารเปิดโล่ง
ประเภทอาหาร
ไทยพื้นบ้านโบราณ 4 ภาค
ทำเลที่ตั้ง
ถนนประดิษฐ์มนูธรรม (เลียบทางรามอินทรา-อาจณรงค์)
ระดับราคาอาหาร
80-300 กว่าบาท
เมนูแนะนำ
- ไก่นาย่างแรงเยอร์ ราคา 260 บาท /ตัว
- ปลาช่อนแป๊ะซะลูกทุ่ง ราคา 180-300 กว่าบาท (ตามน้ำหนักปลา)
- ปลาไหลผัดขี้เมา ราคา 140 บาท
- ลาบไข่มดแดง ราคา 120 บาท
บรรยากาศร้าน
บ้านเรือนไม้เก่า กลางบึงน้ำ
ความจุ/จำนวนโต๊ะ
ประมาณ 40 กว่าโต๊ะ
ลูกค้าประจำ
กลุ่มครอบครัว และคนทำงานทุกวัย ติดตามมาตั้งแต่ร้านเดิม
เบอร์โทรศัพท์ 
0-2519-3835 และ 08-1255-6837
การตกแต่งร้าน
ตกแต่งเป็นเหมือนบ้าน ในลักษณะเรือนไม้ชาวบ้านต่างจังหวัด(พิษณุโลก)
การเดินทาง
ร้านตั้งอยู่เกือบสุดถนนประดิษฐ์ธรรม (ตรงหน้าทางลงด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ ) ที่จะออกถนนรามอินทรา
ที่จอดรถ
บริเวณด้านข้างและด้านหลังร้าน
วัน-เวลาเปิดบริการ
เปิดบริการทุกวัน เวลา 11.00 -24.00 น.

"ครัวกะ-หนก


ปลากระพงเคียงเมี่ยง" ที่ร้าน "ครัวกะ-หนก"...ซอยลาดพร้าว 71 .....
“แม่ลิ้นจี่พาชิม” หนังสือพิมพ์บ้านเมือง ฉบับวันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม 2550
 
สวัสดีค่ะท่านผู้อ่าน พบกับ “แม่ลิ้นจี่” กันอีกเช่นเคย ท่ามกลางฟ้าฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง อากาศค่อนข้างจะเย็นสบายน่าพักผ่อน ดวงอาทิตย์ไม่ค่อยจะได้ทำงาน  จนเกือบจะลืมไปเลยว่าเมื่อเดือนก่อนอากาศร้อนกันจนแทบบ้านั้นเป็นยังไงกัน แต่ถึงอย่างไร “แม่ลิ้นจี่” ก็ไม่ลืมที่จะพาท่านผู้อ่านหลบร้อน หลบฝน ...มาแวะชิมอาหารอร่อยกันอีกเช่นเคย...!s
 
เมื่อจะพูดถึงเส้นทางสัญจรไปมาย่านถนนลาดพร้าว หลายท่านคงจะคุ้นเคยทางลัดยอดฮิตในอดีตอย่าง ซอยลาดพร้าว 71 เป็นอย่างดีที่สามารถใช้เป็นทางลัดไปสู่ถนนได้หลายทาง จนทำให้การจราจรช่วงเช้าและช่วงเย็นของซอยนี้ติดกันจอแจไม่แพ้ถนนสายหลักๆ เลยละค่ะ แต่นั่นก็ผ่านมาเป็นสิบปีแล้ว เพราะปัจจุบันมีทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ ตัดผ่านย่านนี้ ความคับคั่งของการจราจรในซอยนี้ก็เบาบางลง เพราะได้ย้ายไปหนาแน่นที่แถวทางด่วนแทน และในคอลัมน์พาชิมประจำฉบับนี้ “แม่ลิ้นจี่”
 
ก็เลยขอถือโอกาสพาท่านผู้อ่านหลบลี้หนีความคับคั่งของการจราจรริมทางด่วน มาแวะเข้าทางลัดที่แม่ลิ้นจี่เคยใช้อยู่เป็นประจำอย่างซอยลาดพร้าว 71 และได้มาเจอกับร้านอาหารที่น่าสนใจอย่าง “ร้านครัวกะ-หนก” ก็เลยจะขอแนะนำให้ท่านผู้อ่านได้รู้จักบ้าง...
 
ถึงแม้ว่าถนนเส้นนี้จะสงบเงียบลง ไม่คึกคักเหมือนสมัยก่อน แต่สิ่งที่ยังคงเหลืออยู่ก็คือมีถนนที่กว้างขวาง เดินทางสะดวกจอดรถสบาย และก็เป็นที่ตั้งของร้านครัวกะหนก ซึ่งเป็นตึกแถว 2 ห้อง เปิดไฟสว่างไสว ด้านในเป็นห้องแอร์มีโต๊ะให้เลือกนั่งอยู่หลายมุมมองกว่า 20 โต๊ะ เปิดเพลงสากลในยุค ’60 และ ’70  ซึ่งฟังแล้วเพลิดเพลินดีนัก ทำให้นึกถึงสมัยที่แม่ลิ้นจี่ยัง เป็นวัยสะรุ่น... ด้านนอกร้านเขาจะจัดโต๊ะนั่งไว้ริมทางเดิน สำหรับท่านที่ชอบบรรยากาศแบบโอเพ่นแอร์ อาหารของทางร้านจะเน้นเป็นอาหารไทยรสจัด แต่ก็มีอาหารจีน และซีฟู๊ดให้เลือกสั่ง รวมแล้วกว่า 150 ชนิด ราคาเริ่มต้นที่ 30 บาท ไปจนถึง 180 บาท บริหารร้านโดย “คุณกนกนุช ประจวบเหมาะ”
ก่อนหน้าที่จะเปิดเป็นร้านอาหารนั้น คุณกนกนุช ได้เปิดร้านขายอาหารกลางวันมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ประกอบกับ  “พตท.กุลธน ประจวบเหมาะ” หรือ “คุณต้น” สามีคุณกนกนุช อดีตสมาชิกของพรรคการเมืองชื่อดัง ซึ่งมีเพื่อนฝูงมากมายเลย จำเป็นต้องมีสถานที่สังสรรค์นัดปะพูดคุยกันเป็นประจำ เห็นว่าอาหารของที่ร้านรสชาติดีอร่อยไม่อายใคร ถึงเวลาแล้วที่จะต้องขยายร้านและเปิดอย่างเต็มตัว จึงได้เปลี่ยนจากร้านอาหารปรุงสำเร็จที่ขายเฉพาะช่วงกลางวัน มาเปิดเป็นร้าน“ครัวกะหนก” เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา
เมื่อเล่าที่มากันพอสมควรแล้ว ตอนนี้ก็มาถึงช่วงเวลาของการชิมบ้างแล้ว เริ่มจาก...
 
ปลากระพงเคียงเมี่ยง... เขาจะใช้ปลากระพงขนาด 8 ขีด แล่เอาแต่เนื้อมาหั่นเป็นชิ้นๆขนาดกำลังดีไม่เล็กจนเกินไป นำไปทอดแบบกรอบนอกนุ่มใน แล้วนำไปจัดลงบนหัวและก้างปลาที่ทอดจนกรอบเหลือง แล้วจัดเครื่องเมี่ยงคำ มีหอมแดงสด ขิงอ่อน หั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า มะนาวหั่น พรกขี้หนูซอย ตะไคร้ซอย ถั่วลิสงคั่ว วางจนพูนท่วมตัวปลา ราดด้วยน้ำตาลเคี่ยวที่ข้นเหนียว โรยหน้าด้วยหอมแดงเจียว จะเลือกทานเนื้อปลากับเครื่องเคียง หรือนำใบผักสดเช่นใบคะน้า ใบชะพลู หรือผักกาดหอม มาห่อทานเป็นคำๆก็อร่อยไม่แพ้กัน ซึ่งความลงตัวอยู่ที่เนื้อปลาที่หั่นชิ้นไม่เล็กจนเกินไป และทอดไม่แห้งมาก เมื่อทานกับเครื่องเคียงจะได้รสของเนื้อปลา และความหอม หวานมัน ของเครื่องเมี่ยง อร่อยกำลังดี ในราคาตัวละ 180 บาท
 
ส้มตำปูไข่ดอง... สำหรับเมนูปูไข่ดองนี้ ทางร้านมีให้เลือกสั่งทั้งแบบปูดองที่ทานกับน้ำจิ้มซีฟู๊ด หรือจะเป็นส้มตำก็ได้แล้วแต่ชอบ ซึ่งวันนี้ “แม่ลิ้นจี่” เลือกสั่งเป็นส้มตำปูไข่ดอง เพราะเห็นหน้าตาแล้วมีสีสรรดูน่ารับประทานซะเหลือเกิน... เขาเลือกปูไข่ดองที่มีไข่แดงอัดแน่นอยู่เต็มกระดอง สีสดใส นำมาแกะแยกส่วนเกินออกไป นำส่วนของตัวมาสับเป็นชิ้นแล้วจัดวางบนจานพักไว้ จากนั้นก็ตำส้มตำไทยรสชาติจัดจ้านราดไปบนปูไข่ดองที่เตรียมไว้ เสิร์ฟมาพร้อมกับผักสด ความอร่อยอยู่ที่ปูสดๆจะมีรสหวาน และไม่มีกลิ่นคาว ทานแกล้มกับเครื่องส้มตำที่มีรสจัดจ้าน เปรี้ยว เผ็ด เค็ม หวาน ครบรส อร่อยกำลังดี ในราคาที่ละ 180 บาท
ต้มยำกุ้งใหญ่... ว่ากันว่าถ้าจะกินอาหารไทย ให้ครบถ้วนก็อย่าลืมสั่ง “ต้มยำ” วันนี้ “แม่ลิ้นจี่” เลือกเป็นต้มยำกุ้งใหญ่ ที่เขาจะเลือกใช้กุ้งก้ามกรามสดๆ นำมาผ่าครึ่ง แล้วนำไปปรุงแบบต้มยำน้ำใส ไม่ใส่นมสด และน้ำพริกเผา เพราะกุ้งใหญ่สดๆ จะมีมันกุ้งอยู่แล้ว สำหรับน้ำซุปก็จะใส่ตะไคร้ ใบมะกรูด เห็ดฟาง พริกขี้หนูสดบุบ ปรุงรสเปรี้ยวนำ เผ็ด เค็ม โรยหน้าด้วยผักชีฝรั่ง และผักชีไทย ความอร่อยอยู่ที่รสชาติหวานมันของเนื้อกุ้งที่สด และมันที่ลอยอยู่ในน้ำซุป ทานกับข้าวสวยร้อนๆ ได้รสชาติแซ่บตามแบบฉบับต้มยำ ในราคาที่ 100 บาท
เนื้อโคขุนย่าง.... เขาจะใช้เนื้อโคขุนแท้ๆ เลือกเฉพาะส่วนที่มีมันแทรกเล็กน้อย นำมาแล่เป็นชิ้นๆ แล้วหมักกับซอสปรุงรส พริกไทย ย่างบนเตาถ่านไฟอ่อนๆ แบบพอสุกไม่แห้งมาก นำมาหั่นเป็นชิ้นบางๆ จะได้เนื้อโคขุนย่างเนื้อเนียนนุ่มรสชาติละมุนลิ้น ทานกับน้ำจิ้มแจ่ว รสจัดจ้าน อร่อยอย่าบอกใคร ในราคาที่ละ 70 บาท
เต้าหู้ทรงเครื่องน้ำแดง... เมนูนี้สำหรับท่านที่ชอบเต้าหู้ไข่แต่ก็เบื่อที่จะทานแบบเดิมๆ... เขาจะใช้เต้าหู้ไข่มาหั่นเป็นแว่นๆ แล้วนำไปทอดจนสุกเหลือง ก่อนนำมาปรุงรสแบบน้ำแดงสูตรจีนโบราณ เติมกุ้งสด ปลาหมึกสด และเนื้อปู แครอท ก้านคะน้า เห็ดหอม ข้าวโพดอ่อน ปรุงรสออกเค็ม มัน โรยหน้าด้วยพริกไทย ผักชี เติมซอสชิ๊กโฉ่วลงไปนิด จะได้รสชาติเต้าหู้น้ำแดงที่อร่อยไม่ช้ำแบบใคร ในราคาหม้อละ 120 บาท หรือจะสั่งเป็นถ้วยก็ 80 บาท
 
ร้านครัวกะหนก เปิดบริการทุกวันตั้งแต่ 11.00-15.00น. ช่วงค่ำเริ่มกันตั้งแต่เวลา 17.00-24.00 น. สถานที่ตั้งของร้านก็หากันไม่ยาก หากเข้ามาทางปากซอยลาดพร้าว 71 เพียงแค่ 50 เมตร ร้านจะอยู่ทางซ้ายมือ สามารถจอดรถได้บริเวณหน้าร้าน และลานจอดรถฝั่งตรงข้าม ถ้ากลัวไปไม่ถูกก็โทรไปสอบถามได้ที่ 0-2514-1814 และขอปิดท้ายไว้นิดหนึ่งสำหรับท่านที่ชอบดื่มเบียร์ เพราะที่ร้านเขามีเบียร์วุ้นไว้บริการ ชนิดที่ว่ารินใส่แก้วแล้วเป็นเกล็ดหิมะเลยทีเดียว สนนราคาก็ถูกแสนถูกแบบไม่เอาเปรียบลูกค้า แต่มีข้อแม้อย่างหนึ่งนะคะว่า “ถ้าจะดื่มก็อย่าลืมหาพลขับไปด้วย” เผื่อเจอด่านตรวจจะได้รอดปลอดภัย 
 
 
อย่าลืมนะค่ะ สะดวกกันวันไหนก็ขอเชิญแวะเวียนไปชิมได้ สำหรับวันนี้คงต้องขอแนะนำแต่เพียงเท่านี้ แล้วพบ “แม่ลิ้นจี่พาชิม” ได้ใหม่สัปดาห์หน้านะคะ...
 
ข้อมูลร้าน
ชื่อร้าน
ครัวกะ-หนก
รูปแบบร้าน
ห้องอาหาร ติดแอร์
ประเภทอาหาร
ไทย จีน ซีฟู๊ด
ทำเลที่ตั้ง
ปากซอยลาดพร้าว 71
ระดับราคาอาหาร
30-180 บาท
เมนูแนะนำ
- ปลากระพงเคียงเมี่ยง...  ราคา 180 บาท
- ส้มตำปูไข่ดอง...  ราคา 180 บาท
- ต้มยำกุ้งใหญ่...   ราคา 100 บาท
- เนื้อโคขุนย่าง....  ราคา 70 บาท
- เต้าหู้ทรงเครื่องน้ำแดง...  ราคา 120 บาท
บรรยากาศร้าน
ห้องแอร์ เปิดเพลงสากล
ความจุ/จำนวนโต๊ะ
ประมาณ 20 โต๊ะ
ลูกค้าประจำ
กลุ่มครอบครัวและวัยทำงาน 
เบอร์โทรศัพท์ 
0-2514-1814
การตกแต่งร้าน
-
การเดินทาง
เข้าทางถนนลาดพร้าว เข้าซอย ลาดพร้าว 71 ประมาณ 50 เมตร ร้านอยู่ทางซ้ายมือ
ที่จอดรถ
ฝั่งตรงข้าม(ที่จอดของทางร้าน) และด้านหน้าร้าน
วัน-เวลาเปิดบริการ
เปิดบริการทุกวัน เวลา 11.00-15.00น. และ เวลา 17.00-24.00 น.
 

"ผัดไทยกุ้งสด" 3 ชั่วอายุคน ...เจ้าเก่า 60 ปี ตลาดนานา บางลำพู

."ผัดไทยกุ้งสด" 3 ชั่วอายุคน ...เจ้าเก่า 60 ปี ตลาดนานา บางลำพู.....
“แม่ลิ้นจี่พาชิม” หนังสือพิมพ์บ้านเมือง ฉบับวันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน 2550
 
 
วันเวลาเวียนมาบรรจบทำให้เราได้พบกันอีกครั้ง ในคอลัมน์พาชิมของหนังสือพิมพ์ “บ้านเมืองรายวัน” โดยมี “แม่ลิ้นจี่” เจ้าเก่ารับหน้าที่คอยสรรหาอาหารอร่อยหลากหลายบรรยากาศ ตั้งแต่ระดับติดดินไล่เรื่อยไปจนถึงระดับหรูหรามาแนะนำให้พากันไปลองชิมเหมือนเช่นเคย....!
 
อาหารอร่อยประจำสัปดาห์นี้เพื่อให้เข้ากับยุคเศรษฐกิจที่กำลังซบเซา ก็เลยจะแนะนำอาหารประเภทจานเดียวและจานด่วนในราคาประหยัดที่ใครๆ ก็สามารถจะหารับประทานกันได้มานำเสนอให้แฟนคอลัมน์ได้ลิ้มลอง และอาหารที่จะแนะนำกันในวันนี้ก็เป็นอาหารที่คนไทยเราคุ้นปากคุ้นลิ้นกันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ นั่นก็คือ “ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย” ซึ่งร้านที่กำลังจะแนะนำกันนี้เขาสืบทอดความอร่อยมายาวนานถึง 60 กว่าปี ตั้งแต่รุ่นคุณย่าผัดขายอยู่ที่ตลาดทุเรียน (บางลำพูสมัยก่อน) ในราคาจานละ 3 สตางค์ มาถึงรุ่นลูกได้ย้ายมาขายในตลาดนานา จำได้ว่าขายจานละ 10 บาท จนถึงปัจจุบันที่การสืบทอดตำนานผัดไทยจากรุ่นคุณย่านั้นย้ายมาอยู่ริมถนนสามเสนได้ประมาณ 6 ปี ที่รู้จักกันดีในนาม “ผัดไทยกุ้งสดเจ้าเก่า ตลาดนานา” และเป็นเจ้าที่ “แม่ลิ้นจี่” คิดถึงอยู่เพราะเคยเป็นขาประจำมาอย่างนานโข....
 
ย้อนไปในอดีตเมื่อประมาณ 30 กว่าปีก่อน สมัยที่ “แม่ลิ้นจี่” ยังอยู่ในวัยเรียน มีร้านขายผัดไทยอยู่เจ้าหนึ่งที่แม่ลิ้นจี่ฝากเนื้อฝากตัวเป็นขาประจำทุกๆ ครั้งที่ย่างกรายไปในย่านบางลำพู ซึ่งที่ร้านนี้เขาจะเปิดแผงค้าขายอยู่ในบริเวณ “ตลาดนานาริมคลองโอ่งอ่าง” หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า “คลองบางลำพู” ในยุคนั้นตลาดแห่งนี้จะเป็นศูนย์รวมอาหารอร่อยทั้งคาวและหวานนานาชนิดที่ขายกันในราคาประหยัด จึงเป็นที่นิยมชมชอบของผู้คนที่มาจับจ่ายซื้อของที่ตลาดบางลำพู และผู้ที่มาดูหนังที่โรงภาพยนตร์บุศยพรรณ ซึ่งเป็นโรงหนังเก่าแก่ในย่านนี้
 
ที่ร้านนี้จะไม่มีชื่อร้าน และจะเปิดขายกันในช่วงบ่ายถึงค่ำ มีสองคนสามีภรรยาช่วยกันขาย พอตกค่ำเล็กน้อยก็จะมีลูกสาวคนสวยมาช่วยหลังเลิกเรียน โดยจะมีลูกค้าขาประจำมาอุดหนุนกันคับคั่ง ทั้งที่นั่งทานกันที่ร้านและซื้อใส่ห่อกลับบ้าน เขาจะผัดในกระทะใบใหญ่ ผัดกันทีครั้งละมากๆ ผัดครั้งเดียวแบ่งใส่ได้หลายจาน ถ้าขืนมัวมาผัดกันทีละจานก็คงไม่ทันกินเพราะมีลูกค้ามายืนรอกันเนืองแน่น แต่ที่น่าทึ่งก็คือเสน่ห์ปลายจวักและรสมือของการปรุงที่มีรสชาติเดียวกันทุกครั้งที่ผัด
 
  
 
และเมื่อประมาณ 16-17 ปีที่ผ่านมา ตลาดนานาถูกรื้อแล้วสร้างเป็นอพาร์ตเม้นท์ ร้านรวงต่างๆ ที่เคยค้าขายอยู่ที่นี่ก็เลยกระจัดกระจายหายหน้ากันไป รวมถึงร้านขายผัดไทยเจ้าประจำของแม่ลิ้นจี่ด้วย ต่อมาภายหลังจึงได้รับรู้ว่าเขาไม่ได้ไปไหนไกล แต่ย้ายเข้าไปขายในบ้านที่สามเสนซอย 2 ได้ 10 กว่าปี ก่อนจะมาเปิดร้านอยู่ที่ตึกแถวเก่าแก่ริมถนนสามเสน โดยมีลูกสาว 2 คนพี่น้องซึ่งนับว่าเป็นรุ่นที่ 3 เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการค้าขาย “แม่ลิ้นจี่” ก็เลยได้โอกาสแวะเวียนมาเขียนแนะนำให้แฟนคอลัมน์ได้พากันไปลองชิม
 
จากการสอบถาม “คุณจันทร์เพ็ญ มังคละพุทธิภักดิ์ ” ได้เล่าให้ฟังว่า เธอจะยืนผัดตั้งแต่ก่อนเที่ยงไปจนร้านเลิกอย่างนี้เป็นประจำ น้องสาวคือคุณรัตนา จะเป็นคนเสิร์ฟและเตรียมเครื่องเคียง ลูกสาวจะมาช่วยงานก็หลังเลิกเรียน ส่วนสามีจะมาช่วยล้างจานหลังเลิกงานเช่นกัน ช่วยกันเองในครอบครัวโดยไม่ต้องพึ่งลูกจ้าง ส่วน “คุณแม่ภาวดี” ที่ยืนผัดมาอย่างยาวนาน และเป็นที่รู้จักของลูกค้าเป็นอย่างดีตอนนี้ก็ได้พัก แต่ก็ยังช่วยกันอยู่เวลาที่ลูกค้าเยอะ ลูกค้าที่มากินก็มีตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย จนถึงรุ่นพ่อแม่ ลูก หลาน เหลน เหมือนกัน เรียกได้ว่าสืบทอดทายาทกันมาทั้งคนขายและคนกินเลยทีเดียว
 
  
 
จากที่แต่ก่อนขายแต่ผัดไทยแบบธรรมดาใส่กุ้งแห้งแต่เพียงอย่างเดียว และมีแต่เส้นเล็ก เลือกได้เพียงใส่ไข่หรือไม่ใส่เท่านั้น ปัจจุบันมีให้เลือกเป็นเส้นเล็กและวุ้นเส้น ถ้าเป็นผัดไทยแบบธรรมดา ราคาจานละ 25 บาท ถ้าเลือกใส่กุ้งสด ก็ราคาจานละ 45 บาท ถ้ากลัวไม่อิ่มก็สั่งพิเศษเพิ่มเส้น เพิ่มไข่ได้ เครื่องปรุงก็จะใส่มาแบบครบเครื่องเรื่องผัดไทย มีทั้ง กุ้งแห้ง หัวไชโป๊วสับ เต้าหู้ ถั่วลิสงป่น พริกป่น ใบกุ้ยฉ่าย และถั่วงอก ปรุงรสด้วยน้ำส้มสายชู และน้ำตาลปี๊บ ความอร่อยอยู่ที่เส้นที่ผัดได้นุ่มเนียนไม่แข็งกระด้าง แห้งกำลังดี ไม่เละ ไม่แฉะ ยิ่งได้บีบมะนาว ปรุงรสแบบที่ตัวเองชอบ กินแกล้มกับผักสดเครื่องเคียง คือ ถั่วงอกดิบ ต้นกุ้ยฉ่าย ช่างถูกใจจริงๆ...
 
ซึ่งคุณจันทร์เพ็ญบอกว่า วิธีการผัดของเธอนั้นสืบทอดกันมาจากสายเลือดและประสบการณ์ เช่น การดูเส้นได้ที่หรือยัง จะต้องใส่เครื่องปรุงตอนไหน จะต้องพักเส้นให้เครื่องปรุงซึมเข้าถึงเนื้อใน การเลือกกุ้งก้ามกรามที่ใส่ก็ต้องสดๆ เนื้อจะได้แน่นและหวานอร่อย ทำให้ผัดไทยของที่ร้านเป็นที่ติดอกติดใจของลูกค้าทั้งเก่าและใหม่ เพราะรักษารสชาติแบบดั้งเดิมเอาไว้ไม่ผิดเพี้ยน
 
สะดวกกันวันไหนก็ลองแวะเวียนมาเยี่ยมชิมกันได้ แต่ต้องขอบอก...ถ้ามาอุดหนุนที่ร้านนี้ในช่วงที่มีลูกค้ามากมาย ก็ต้องใจเย็นกันสักนิด และอย่าคิดหงุดหงิดเดี๋ยวจะเสียอรรถรสในการกิน...ที่ร้านนี้เขาจะเปิดบริการวันจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 11.30-15.30 น. ช่วงบ่ายตั้งแต่เวลา 16.30-21.00 น. หยุดวันเสาร์ 1วัน ส่วนวันอาทิตย์ขายตั้งแต่เวลา 15.00-21.00 น.สถานที่ตั้งของร้านจะอยู่ริมถนนสามเสน ระหว่างสามเสนซอย 6 และสามเสนซอย 8 ตรงกับป้ายรถเมล์พอดิบพอดี จุดสังเกตก็คือจะอยู่เยื้องกับซอยสำนักงานเขตพระนคร ก่อนถึงบางลำพูเล็กน้อย แต่ถ้าเกรงว่าจะหากันไม่เจอก็โทรไปสอบถามเส้นทางกันก่อนได้ที่ 0-2281-8179 
 
และสำหรับวันนี้คงต้องขอแนะนำกันแต่เพียงแค่นี้ แล้วพบกับคอลัมน์ “แม่ลิ้นจี่พาชิม” ได้ใหม่ในหนังสือพิมพ์บ้านเมืองรายรายวันสัปดาห์ต่อไปนะคะ.....!
 
ข้อมูลร้าน
ชื่อร้านผัดไทยกุ้งสดตลาดนานา
รูปแบบร้านตึกแถวริมถนน
ประเภทอาหารผัดไทย
ทำเลที่ตั้งถนนสามเสน ระหว่างซอย 6 และซอย 8
ระดับราคาอาหาร25-45 บาท
เมนูแนะนำ
- ผัดไทยธรรมดา....  ราคา 25 บาท
- ผัดไทยกุ้งสด...   ราคา 45 บาท
- วุ้นเส้นผัดไทยกุ้งสด... ราคา 45 บาท
บรรยากาศร้าน-
ความจุ/จำนวนโต๊ะ4-5 โต๊ะ
ลูกค้าประจำ-
เบอร์โทรศัพท์ 0-2281-8179
การตกแต่งร้าน-
การเดินทางถ้ามาจากเทเวศน์ขับรถตรงมาเรื่อยๆจผ่านสี่แยกบางขุนพรม ขับรถมาเรื่อยๆจนเลยปั๊มน้ำมัน ร้านอยู่ทางซ้ายมือ ตรงป้ายรถเมล์พอดี
ที่จอดรถ-
วัน-เวลาเปิดบริการวันจันทร์-ศุกร์ ตั้งแต่เวลา 11.30 -15.30 น. และ16.30-21.00 น.หยุดวันเสาร์